ตัวอย่างการประเมินลูกน้องในองค์กรและเกณฑ์วัดผล

การมีบุคลากรที่เหมาะสมในทุกตำแหน่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพนักงานเดิมลาออก การสรรหาและบรรจุพนักงานใหม่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเริ่มปฏิบัติงาน องค์กรจำเป็นต้องประเมินว่าพนักงานใหม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น การประเมินผลงานโดยหัวหน้างานควรยึดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส และยุติธรรม เพื่อสะท้อนศักยภาพและประสิทธิภาพการทำงานอย่างแท้จริง

บทความนี้ขอแนะนำเกี่ยวกับวิธีประเมินลูกน้อง ทำอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพ ทั้งเกณฑ์ชี้วัดที่ควรใช้ ตัวอย่างการเขียนประเมินลูกน้อง รวมถึงประโยชน์ต่อองค์กรที่ควรรู้

 

การประเมินพนักงาน คืออะไร

การประเมินพนักงาน (Employee Evaluation) คือกระบวนการวัดผลและให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยหัวใจสำคัญของการประเมินลูกน้อง ไม่ใช่เพียงการตัดสินผลงานว่า 'ดี' หรือ 'ไม่ดี' เท่านั้น แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาจุดแข็งที่ควรส่งเสริมและระบุช่องว่างทางทักษะที่ต้องปรับปรุง การประเมินจึงเป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจความคาดหวังขององค์กร และเป็นรากฐานในการวางแผนฝึกอบรม การให้รางวัล การเลื่อนตำแหน่ง และส่งเสริมการเติบโตในสายอาชีพ เพื่อให้ทั้งพนักงานและองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายและเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน

 

เกณฑ์การประเมินลูกน้องในด้านต่าง ๆ

การประเมินผลงานที่มีประสิทธิภาพ คือการกำหนดเกณฑ์การวัดผลที่ชัดเจน ซึ่งเป็นรากฐานในการสร้างกระบวนการประเมินที่มีมาตรฐานและเป็นธรรม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่ยอมรับ สามารถนำไปใช้พัฒนาบุคลากรได้อย่างแท้จริง โดยทั่วไปแล้ว เกณฑ์ที่นิยมใช้มักแบ่งออกเป็น 4 มิติหลัก ดังนี้

1. ด้านผลงาน (Performance)

การประเมินด้านผลงานเป็นเกณฑ์ที่วัดผลได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด เพราะสามารถประเมินจาก "ผลลัพธ์" ของงานที่ได้รับมอบหมายได้โดยตรง ดังนั้นองค์กรจึงควรใช้เครื่องมือที่ช่วยกำหนดเป้าหมายและการวัดผลที่ชัดเจน เช่น

  • KPI (Key Performance Indicators): ตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความสำเร็จของงานในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของผลงานที่วัดจากความถูกต้องและความละเอียดรอบคอบ หรือปริมาณงานที่วัดจากจำนวนงานที่ทำสำเร็จในกรอบเวลา

ตัวอย่างการประเมินลูกน้องด้วย KPI เชิงปริมาณ

  • เขียนบทความได้ 8-10 บทความต่อเดือน

  • จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากบทความ (Organic Traffic) เพิ่มขึ้น 20% ภายใน 3 เดือน

ตัวอย่างการประเมินลูกน้องด้วย KPI เชิงคุณภาพ

  • บทความติดอันดับหน้าแรกของ Google (สำหรับคีย์เวิร์ดที่กำหนด) อย่างน้อย 5 บทความ

  • อัตราการแก้ไขบทความ (Revision Rate) ไม่เกิน 5%

 

  • OKR (Objectives and Key Results): อีกหนึ่งแนวทางในการตั้งเป้าหมายที่มีความยืดหยุ่นกว่า โดยเน้นที่การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ท้าทาย (Objective) และผลลัพธ์หลักที่วัดผลได้ (Key Results) ซึ่งสะท้อนการเติบโตของพนักงาน

ตัวอย่างการประเมินลูกน้องด้วย OKR:

  • Objective (O): เป็นผู้นำด้านเนื้อหาที่สร้างสรรค์ในอุตสาหกรรม

  • Key Results (KR):

    • KR 1: เพิ่มยอดผู้ติดตาม (Followers) บนโซเชียลมีเดียให้ถึง 50,000 คน

    • KR 2: อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) สูงกว่า 10%

 

2. ด้านทักษะการทำงาน (Skills & Competencies)

ทักษะการทำงาน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่พนักงานจำเป็นต้องมี เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้หลักการ Competency เพื่อกำหนดทักษะที่จำเป็นสำหรับแต่ละตำแหน่งงาน รวมถึงมาตรวัดเป็นระดับต่าง ๆ ว่าแต่ละตำแหน่งคาดหวังในระดับไหน เช่น 0 = None 1 = Basic 2 = Intermediate 3 = Advance 4 = Expert โดยทักษะที่ใช้ในการประเมินโดยทั่วไป ได้แก่

 

การทำงานร่วมกับผู้อื่น หนึ่งในทักษะตัวอย่างการประเมินลูกน้อง

Hard skill: ทักษะเชิงเทคนิค คือการประเมินทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานโดยตรงว่ามีเพียงพอหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากเป็นพนักงานในตำแหน่งการตลาด (Marketing) ควรมีความสามารถในการใช้ Spreadsheet การทำรายงาน (Report) การสรุปและวิเคราะห์ข้อมูล หรือการใช้โปรแกรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากขาดทักษะเหล่านี้ไป อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้

Soft skill: นอกจากทักษะเชิงเทคนิคแล้ว ทักษะด้านการปฏิสัมพันธ์ เช่น การสื่อสาร การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ก็เป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่ต้องพิจารณาเช่นกัน พนักงานที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นหรือมีปัญหาด้านการสื่อสาร อาจก่อให้เกิดปัญหาในการทำงานเป็นทีมตามมา

 

3. ด้านพฤติกรรมและทัศนคติ (Behavior & Attitude)

เกณฑ์การประเมินนี้จะเน้นวัดความเป็นมืออาชีพ ซึ่งสะท้อนถึงความเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กร (Company Culture) โดยครอบคลุมตั้งแต่การมีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การตรงต่อเวลา ทัศนคติเชิงบวกต่อเพื่อนร่วมงานและองค์กร ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ เนื่องจากพนักงานที่มีทัศนคติที่ดีไม่เพียงแต่จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี แต่ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้ในระยะยาว

 

4. ด้านการพัฒนาและความก้าวหน้า (Growth & Development)

การใส่ใจในการเรียนรู้ หรือ Lifelong Learning เป็นหนึ่งในทักษะที่คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องมี โดยเกณฑ์นี้จะประเมินว่าพนักงานมีการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ปรับตัวต่อเทรนด์ต่าง ๆ หรือพัฒนาทักษะให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ อย่างไร ซึ่งองค์กรควรใช้หลักการ SMART Objective ที่เน้นความชัดเจน (Specific) วัดผลได้ (Measurable) บรรลุผลได้จริง (Achievable) เกี่ยวข้องกับงาน (Relevant) และมีกรอบเวลาที่ชัดเจน (Time-bound)

เช่น สำหรับ Website Designer การตั้งเป้าหมายในการประเมินว่า “ต้องทำให้เว็บไซต์ดูดีขึ้น” เป็นเป้าหมมายที่ไม่ชัดเจน วัดผลได้ยาก และไม่มีกรอบระยะเวลากำหนด แต่หากใช้หลักการ SMART Objective กำหนดเป็น

  • S - Specific (เฉพาะเจาะจง): พัฒนาทักษะการออกแบบเว็บไซต์บนมือถือ (Mobile-First Design)
  • M - Measurable (วัดผลได้): เพิ่มคะแนน Mobile-friendliness จาก 60% เป็น 90% ตามเกณฑ์ของ Google Search Console
  • A - Achievable (บรรลุผลได้จริง): ศึกษาคอร์สออนไลน์เกี่ยวกับการออกแบบเว็บไซต์สำหรับมือถือ (Mobile UI/UX) และนำความรู้มาปรับใช้ในโปรเจกต์ใหม่
  • R - Relevant (มีความเกี่ยวข้อง): การพัฒนาทักษะนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้บนมือถือ ซึ่งมีสัดส่วนการเข้าชมเว็บไซต์สูงที่สุดในปัจจุบัน
  • T - Time-bound (มีกรอบเวลา): ทำให้สำเร็จภายใน 3 เดือนนี้

จะเห็นได้ว่าการอ้างอิงหลัก SMART Objective มาใช้ในการประเมินลูกน้อง จะทำให้หลักเกณฑ์มีความชัดเจน และเป็นที่ยอมรับได้ทั้งหัวหน้างาน รวมถึงตัวผู้ถูกประเมินเองด้วย

 

แนวทางการประเมินพนักงานในองค์กร

การประเมินพนักงานที่เชื่อถือได้และเป็นธรรมต้องอาศัยแนวทางที่รอบด้าน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาบุคลากรได้อย่างตรงจุด องค์กรจึงไม่ควรยึดติดกับหลักการใดเพียงอย่างเดียว แต่ควรรวมเอาเครื่องมือและกรอบแนวคิดที่หลากหลายมาปรับใช้ ซึ่งช่วยให้การประเมินมีความแม่นยำและเป็นไปตามหลักการสากลมากขึ้น โดยอาจยึดแนวทาง ดังต่อไปนี้

  • กำหนดเกณฑ์วัดผลให้ชัดเจน และเป็นธรรม

เพื่อวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม องค์กรควรใช้เครื่องมือที่ช่วยให้การประเมินมีความโปร่งใสและยุติธรรม เช่น KPI (Key Performance Indicators) ตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความสำเร็จของงาน หรือ OKR (Objectives and Key Results) ที่เน้นการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ท้าทายและผลลัพธ์ที่วัดผลได้ หรือใช้หลักการ SMART Objective ในการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

  • ประเมินด้วยมุมมองที่หลากหลาย

ประเมินครอบคลุมทุกมิติและเป็นธรรม โดยอาจนำกรอบแนวคิดอย่าง Balanced Scorecard (BSC) มาใช้ในการเชื่อมโยงผลงานของพนักงานเข้ากับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กรในมิติที่หลากหลาย และใช้ 360-degree evaluation ในการเก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง ไม่ได้จำกัดแค่หัวหน้างาน แต่ยังรวมถึงเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ตนเอง รวมถึงลูกค้าด้วย ซึ่งจะช่วยลดอคติและให้ได้มุมมองที่ครบถ้วนรอบด้าน

  • นำผลประเมินไปวางแผนพัฒนาศักยภาพทีม

ผลลัพธ์จากการประเมินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบุคลากร เพราะช่วยให้องค์กรเห็นช่องว่างด้านทักษะได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนการฝึกอบรมเพื่อดึงศักยภาพของพนักงานออกมาอย่างเต็มที่

โดยองค์กรสามารถใช้ Kirkpatrick Model ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด โดยประเมินใน 4 ระดับ: ปฏิกิริยา (ผู้เข้าร่วมรู้สึกอย่างไร), การเรียนรู้ (ผู้เข้าร่วมได้รับความรู้อะไรบ้าง), พฤติกรรม (ความรู้ที่ได้ถูกนำไปปรับใช้ในงานหรือไม่) และผลลัพธ์ (การเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลดีต่อองค์กรอย่างไร)

 

ตารางตัวอย่างการประเมินลูกน้องที่ใช้ในองค์กร

 

โดยทั่วไป ตารางประเมินผลพนักงานจะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อการประเมินในคอลัมน์แรก ซึ่งครอบคลุมทั้งทักษะการทำงาน (Hard skill) และทักษะด้านพฤติกรรม (Soft skill) ถัดมาคือการให้คะแนน และตามด้วยช่องความคิดเห็นเพื่อใช้บันทึกตัวอย่างพฤติกรรมที่ชัดเจนประกอบการให้คะแนน ทั้งนี้ ควรมีคำอธิบายกำกับเสมอว่าคะแนนแต่ละระดับหมายถึงอะไร เพื่อให้การประเมินมีความโปร่งใสและเป็นมาตรฐานเดียวกัน

 

ชื่อ-สกุล: _________________________ ตำแหน่ง: _________________________ ฝ่าย/แผนก: _________________________

ผู้ประเมิน: _________________________

รอบการประเมิน: วันที่ ____ / ____ / ______ ถึง ____ / ____ / ______ วันที่ประเมิน: ____ / ____ / ______

เกณฑ์การประเมิน เกณฑ์ขั้นต่ำ คะแนนที่ได้ รายละเอียด
ทักษะในการทำงาน (Hard Skill)
การเขียน Ads Copywriting 4 4 ทำได้ค่อนข้างดี มีบางคำที่ใช้ยังไม่น่าสนใจเท่าไร
การเขียน Social Media Copywriting 4 4 เขียนได้ดี เนื้อหาครบถ้วน แต่ค่อนข้างยาวไปเล็กน้อยสำหรับ Social Media Captions
การเขียนบทความ SEO 4 5 เขียนได้ดี ภาษาสละสลวย มีการใส่คีย์เวิร์ด SEO อย่างเป็นธรรมชาติ
ความละเอียดรอบคอบ 5 3 ยังมีสะกดผิดในส่วนของคำทับศัพท์ หรือสะกดตกหล่น ไม่ค่อยใช้เครื่องมือตรวจทาน
ความถูกต้องของข้อมูล 5 5 เนื้อหาถูกต้อง อ้างอิงแหล่งที่มาได้
ทักษะด้านพฤติกรรม (Soft Skill)
การสื่อสาร 5 2 ไม่ค่อยสื่อสารกับทีม ทำให้หลายครั้งมีงานตกหล่นหรือช้ากว่ากำหนด
การบริหารจัดการเวลา 5 4 ส่งงานทันเวลา แต่ส่วนใหญ่จะส่งตามวัน Deadline ไม่มีการส่งล่วงหน้า
ความกระตือรือร้นและการปรับตัว 4 4 ค่อนข้างเปิดรับฟีดแบ็ก มีการปรับแก้ตามที่แจ้ง

*คะแนน 5 = ดีเยี่ยม, 4 = ดี 3 = ปานกลาง, 2 = ค่อนข้างแย่, 1 = แย่

 

  • ตัวอย่างการเขียนประเมินลูกน้องเชิงบวก

 

วิธีประเมินลูกน้องที่มีผลลัพธ์หรือสิ่งที่ทำได้ดี ควรให้คำชมเชยเพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้ยังคงคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ พร้อมเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น หากพนักงานเป็นคนที่ทำงานได้รวดเร็ว ควรให้คำชมว่า “มีความรับผิดชอบสูง สามารถจัดการงานของตัวเองได้ดี”

  • ตัวอย่างการเขียนประเมินลูกน้องกรณีต้องปรับปรุง

 

ในทางกลับกัน หากพนักงานมีพฤติกรรมหรือทักษะบางอย่างที่จำเป็นต้องปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็น ความไม่ละเอียดรอบคอบ ทัศนคติที่อาจไม่เข้ากับเพื่อนร่วมงาน ควรเขียนข้อความประเมินในลักษณะที่ไม่ติติงผู้รับการประเมินจนเกินไป ตัวอย่างเช่น หากพนักงานมีความผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ควรพูดว่า “อยากให้ใส่ใจรายละเอียดหรือความถูกต้องให้มากขึ้น” แทนที่จะพูดว่า “ทำงานผิดพลาดบ่อย” เพื่อให้ผู้ที่รับฟีดแบ็กไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกตำหนิ

 

การประเมินลูกน้อง หรือพนักงานมีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กร

ลักษณะแบบฟอร์มการประเมินลูกน้อง

 

  • สร้างแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กร

การให้ฟีดแบ็กที่สร้างสรรค์และสม่ำเสมอในกระบวนการประเมินลูกน้อง เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรใส่ใจและพร้อมลงทุนในตัวพนักงาน ซึ่งจะช่วยให้พนักงานตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กรอย่างแท้จริง

  • ช่วยให้การสื่อสารในทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การได้พูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้เข้าใจตัวพนักงานยังลึกซึ้งแล้ว ยังช่วยให้เข้าใจว่าควรสื่อสารยังไงให้ทีมมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะพนักงานแต่ละคนจะมีลักษณะการสื่อสารที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยลดช่องว่างและเพิ่มศักยภาพในการทำงานเป็นทีม

  • พัฒนาศักยภาพของพนักงานในองค์กร

การประเมินผลงาน ยังช่วยให้พนักงานมองเห็นศักยภาพของตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ทราบว่ามีทักษะใดที่ต้องพัฒนา หรือมีส่วนใดที่ควรปรับปรุง ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นประโยชน์ต่อองค์กรในการนำไปวางแผนจัดอบรมได้อย่างตรงจุด เพื่อพัฒนาและดึงศักยภาพของพนักงานออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การประเมินผลงานเป็นกระบวนการสำคัญที่ทุกองค์กรต้องใส่ใจ ตั้งแต่การออกแบบ ตัวอย่างการประเมินลูกน้อง ที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการนำผลลัพธ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่สำหรับพนักงานใหม่ แต่ยังรวมถึงพนักงานปัจจุบันที่ต้องได้รับการประเมินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายขององค์กรในระยะยาว

เมื่อการประเมินชี้ให้เห็นถึงทักษะที่พนักงานยังขาดหาย องค์กรควรจัดหาการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาและดึงศักยภาพของพวกเขาออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อให้พร้อมรับมือกับเทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการจัดสัมมนา การเรียนผ่าน ระบบ e-Learning หรือเวิร์กชอปที่เน้นการลงมือทำ

เพื่อให้กระบวนการพัฒนาบุคลากรนี้เป็นไปอย่างมีระบบและวัดผลได้ การนำเทคโนโลยีอย่างระบบจัดการการเรียนรู้ (LMS) เข้ามาใช้จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม

 

FROG GENIUS ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Educational Solution ซึ่งพัฒนาและออกแบบ Learning Management System (ระบบ LMS) สำหรับทุกรูปแบบองค์กร เราสามารถปรับแต่งระบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการ พร้อมฟังก์ชัน Interactive ที่ช่วยวัดและประเมินผลการเรียนได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังรองรับการเรียนรู้แบบ Blended Learning ที่ผสานการเรียนออนไลน์เข้ากับการอบรมในห้องเรียน (Classroom Training) การฝึกปฏิบัติระหว่างการทำงาน (On-the-Job Training) และการโค้ช (Coaching) เพื่อให้การเรียนรู้มีความหลากหลายและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

Related Article